การแก้ไขปัญหาการผูกขาดช่องทางการจัดส่งสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้วยพระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่

ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ภูมิทัศน์ด้านโลจิสติกส์กลับถูกครอบงำมากขึ้นโดยแพลตฟอร์มต่างชาติรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ได้แก่ Shopee และ Lazada แพลตฟอร์มเหล่านี้ได้รวมธุรกิจโลจิสติกส์ของตนเอง เช่น SPX Express และ Lazada Express เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศอย่างมีกลยุทธ์

ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นคือ แพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลเหล่านี้มักจะกำหนดหรือจูงใจให้ผู้ขายใช้บริการโลจิสติกส์ของตนเองอย่างหนัก ซึ่งเป็นการจำกัดทางเลือกของผู้ขายในการเลือกผู้ให้บริการจัดส่ง การปฏิบัตินี้ถูกมองว่าเป็นการควบคุมตลาดหรือการผูกขาด

ผลกระทบที่สำคัญจากการกำหนดช่องทางการจัดส่งสินค้าโดยแพลตฟอร์ม ได้แก่ การลดอำนาจต่อรองของผู้ขายอีคอมเมิร์ซและเพิ่มความซับซ้อนในการดำเนินงาน นำไปสู่การสูญเสียทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญและการลดส่วนแบ่งตลาดของผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระ และอาจส่งผลให้คุณภาพบริการสำหรับผู้บริโภคไม่สอดคล้องกัน

ในส่วนของกฎระเบียบ หน่วยงานกำกับดูแลที่มีอยู่ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นช่องทางที่เป็นไปได้ในการเยียวยา

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องระบุว่าข้อมูลการวิจัยที่ได้รับมา ไม่มีรายละเอียดเฉพาะเจาะจง เกี่ยวกับ “พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่” ดังนั้น รายงานนี้จะวิเคราะห์ ศักยภาพ ของกฎหมายดังกล่าวในการแก้ไขปัญหาที่ระบุ โดยการอภิปรายแนวทางกำกับดูแลเชิงสมมติฐานที่อาจส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและปกป้องผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซ

รายงานจะสรุปด้วยข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริมตลาดโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซที่มีการแข่งขันและเป็นธรรมมากขึ้น พร้อมกับข้อพิจารณาเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ได้รับผลกระทบ

บทนำ

บริบท : การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

ภาคอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การเติบโตนี้ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การค้าปลีก ทำให้แพลตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นศูนย์กลางของการค้า การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ได้สร้างตลาดขนาดใหญ่ ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ และเข้าถึงเครื่องมือทางการตลาดที่ทันสมัย

คำถามของผู้ใช้งาน : การแก้ไขปัญหาการจัดส่งสินค้าที่กำหนดโดยแพลตฟอร์ม

คำถามของผู้ใช้งานมุ่งเน้นไปที่ว่า “พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่” จะสามารถแก้ไขปัญหาที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Shopee และ Lazada กำหนดให้ผู้ขายต้องใช้บริษัทขนส่งลูกของตนเอง (เช่น SPX Express, Lazada Express) ได้หรือไม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงข้อกังวลที่สำคัญเกี่ยวกับความเป็นธรรมทางการตลาดและการแข่งขันในเศรษฐกิจดิจิทัล

ขอบเขตและวัตถุประสงค์ของรายงาน

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากการกำหนดช่องทางการจัดส่งสินค้าโดยแพลตฟอร์มในภาคอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยอย่างครอบคลุม โดยจะพิจารณาพลวัตของตลาดในปัจจุบัน ประเมินผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ระบุกลไกการกำกับดูแลที่มีอยู่ และเนื่องจากไม่มีข้อมูลเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับ “พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่” จึงจะสำรวจแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงกำกับดูแลแบบสมมติฐาน วัตถุประสงค์คือเพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญและข้อเสนอแนะที่นำไปปฏิบัติได้เพื่อตลาดที่มีความสมดุลและมีการแข่งขันมากขึ้น

ภูมิทัศน์ของโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

การครอบงำของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ (Shopee, Lazada, TikTok)

ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยมีการกระจุกตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีแพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok ครอบงำภูมิทัศน์ แพลตฟอร์มสองรายนี้เพียงอย่างเดียวมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 79% ซึ่งทำให้พวกเขามีอำนาจในตลาดอย่างมาก การครอบงำนี้ทำให้แพลตฟอร์มสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้ตามอำเภอใจ รวมถึงค่าธรรมเนียมการขาย ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน และค่าธรรมเนียมการจัดส่ง ซึ่งมักจะเพิ่มขึ้นโดยพลการ

การเกิดขึ้นและบทบาทของบริษัทขนส่งภายใต้แพลตฟอร์ม (SPX Express, Lazada Express)

ทั้ง Shopee และ Lazada ได้พัฒนากลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ของตนเองอย่างมีกลยุทธ์ ได้แก่ SPX Express สำหรับ Shopee และ Lazada Express (LEX) สำหรับ Lazada กลยุทธ์นี้แสดงถึงแนวทางการ “บูรณาการในแนวดิ่ง” โดยที่แพลตฟอร์มควบคุมหลายขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ตลาดกลางไปจนถึงระบบการชำระเงิน (ShopeePay) และโลจิสติกส์ วัตถุประสงค์หลักของการบูรณาการนี้คือเพื่อลดต้นทุนต่อคำสั่งซื้อ ควบคุมเวลาการจัดส่ง เพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า และนำเสนอสิ่งจูงใจในการแข่งขัน เช่น โปรโมชั่น “ส่งฟรี”

การลงทุนอย่างหนักของแพลตฟอร์มเหล่านี้ในธุรกิจโลจิสติกส์ของตนเอง ไม่ได้เป็นเพียงการแสวงหาประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่จงใจเพื่อควบคุมระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซทั้งหมด ตั้งแต่การทำธุรกรรมไปจนถึงการจัดส่ง การบูรณาการในแนวดิ่งนี้ช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถสร้างผลกำไรจากบริการโลจิสติกส์ได้โดยตรง ลดการพึ่งพาบุคคลที่สาม และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันโดยการเสนอการจัดส่งที่ได้รับการอุดหนุน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการครอบงำตลาดของตนเอง สิ่งนี้สร้างวงจรการควบคุมที่เสริมซึ่งกันและกัน

กลไกการกำหนดช่องทางการจัดส่งโดยแพลตฟอร์ม

ในอดีต Shopee เคยอนุญาตให้ผู้ขายเลือกบริษัทขนส่งได้ แต่ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตโนมัติที่กำหนดผู้ให้บริการโลจิสติกส์ให้กับผู้ขาย ในขณะที่ Lazada ใช้ระบบการกำหนดอัตโนมัติสำหรับผู้ขายมาโดยตลอด โดยทั่วไปผู้ขายไม่สามารถเลือกบริษัทขนส่งที่ต้องการบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ ระบบของแพลตฟอร์มจะเป็นผู้กำหนดผู้ให้บริการขนส่งที่เหมาะสมที่สุดตามที่ตั้งของผู้ขายและบริการที่มีอยู่

แม้ว่าบางแพลตฟอร์มอาจอนุญาตให้ผู้ขายใช้ “ผู้ให้บริการจัดส่งอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนโดย Shopee” แต่ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบในการจัดการการขนส่งด้วยตนเองทั้งหมด นอกจากนี้ การไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาการจัดส่งที่เข้มงวดที่แพลตฟอร์มกำหนด แม้จะใช้บริษัทขนส่งภายนอกก็ตาม อาจส่งผลให้เกิดการลงโทษ เช่น “อัตราการจัดส่งล่าช้า” (LSR) หรือการยกเลิกคำสั่งซื้ออัตโนมัติ (NFR) สิ่งนี้สร้างแรงจูงใจที่รุนแรงให้ผู้ขายไม่เลือกใช้บริการโลจิสติกส์ที่แพลตฟอร์มกำหนด

การรวมกันของการกำหนดผู้ให้บริการขนส่งแบบบังคับและมาตรการลงโทษสำหรับการเลือกใช้บริการภายนอก สร้างสิ่งที่เรียกว่า “สวนที่มีกำแพงล้อม” (Walled Garden Effect) ซึ่งจำกัดทางเลือกของผู้ขายอย่างมีนัยสำคัญและบีบให้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอกไม่สามารถแข่งขันได้ แม้ว่าแพลตฟอร์มอาจอ้างว่าการปฏิบัตินี้ช่วยให้มั่นใจในคุณภาพบริการหรือประสิทธิภาพ แต่ผลลัพธ์ในทางปฏิบัติคือการลดความเป็นอิสระของผู้ขายและการยับยั้งการแข่งขันสำหรับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอกอย่างมาก สิ่งนี้สร้างสภาพแวดล้อมที่แพลตฟอร์มกำหนดเงื่อนไข ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดนวัตกรรมและต้นทุนระยะยาวที่สูงขึ้นสำหรับระบบนิเวศโดยรวม แม้จะมีการนำเสนอประโยชน์ระยะสั้น เช่น การ “ส่งฟรี” ก็ตาม

ผลกระทบจากการกำหนดช่องทางการจัดส่งโดยแพลตฟอร์ม

ผลกระทบต่อผู้ขายอีคอมเมิร์ซ

ผู้ขายมีทางเลือกน้อยหรือไม่มีเลยในการเลือกผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่จะจัดการคำสั่งซื้อของตน การขาดทางเลือกนี้ส่งผลให้ผู้ขายมีอำนาจต่อรองกับแพลตฟอร์มที่ครอบงำตลาดลดลงอย่างมาก แพลตฟอร์มสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มค่าบริการโดยพลการ ซึ่งกัดกร่อนผลกำไรของผู้ขาย ผู้ขายยังต้องเผชิญกับตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เข้มงวดและการลงโทษ (เช่น อัตราการจัดส่งล่าช้า การยกเลิกอัตโนมัติ) หากไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาการจัดส่งที่แพลตฟอร์มกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพยายามใช้บริษัทขนส่งที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม

แม้ว่าแพลตฟอร์มจะมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการบริการ แต่ผู้ขายมักจะเผชิญกับปัญหา เช่น การเข้ารับพัสดุล่าช้า การสื่อสารที่ผิดพลาดกับบริษัทขนส่งที่แพลตฟอร์มกำหนด และความยากลำบากในการแก้ไขปัญหาการจัดส่ง ผู้ขายอาจพบว่าตนเองติดอยู่ระหว่างนโยบายของแพลตฟอร์มกับประสิทธิภาพของบริษัทขนส่งที่ได้รับมอบหมาย

การที่แพลตฟอร์มมีการเพิ่มค่าธรรมเนียมโดยพลการ และผู้ขายต้องแบกรับค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มที่สูงซึ่งกัดกร่อนผลกำไร เมื่อรวมกับการขาดทางเลือกในการจัดส่ง และการลงโทษสำหรับการไม่ใช้บริการจัดส่งที่แพลตฟอร์มต้องการหรือไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาที่เข้มงวด ทำให้เห็นได้ชัดว่าผู้ขายอยู่ในสถานะที่เปราะบาง พวกเขาถูกบังคับให้ใช้ตัวเลือกการจัดส่งเฉพาะ ซึ่งมักจะมีราคาแพงกว่าหรือมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าที่แพลตฟอร์มกำหนด ในขณะเดียวกันก็เผชิญกับค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มที่เพิ่มขึ้น สิ่งนี้สร้าง “ภาวะบีบคั้นด้านต้นทุน” ให้กับผู้ขาย ลดความสามารถในการทำกำไรและทำให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แข่งขันได้ยากขึ้น โดยเป็นการผลักภาระทางการเงินจากแพลตฟอร์ม (ซึ่งได้รับประโยชน์จากการบูรณาการในแนวดิ่ง) ไปยังผู้ขาย ซึ่งมีทางเลือกน้อยในการแก้ไขปัญหาเนื่องจากการครอบงำตลาดของแพลตฟอร์ม

ผลกระทบต่อผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระ

บริษัทโลจิสติกส์อิสระรายใหญ่ในประเทศไทย เช่น Flash Express และ KEX Express ได้ประสบปัญหาการขาดทุนทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดย Flash Express ขาดทุน 2,186 ล้านบาทในปี 2565 และ KEX Express ขาดทุน 3,083 ล้านบาทในปี 2565 ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรายได้และผลกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทขนส่งภายใต้แพลตฟอร์ม เช่น Lazada Express และ SPX Express

กลยุทธ์ของแพลตฟอร์มในการบูรณาการโลจิสติกส์ของตนเองสร้างสนามแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยการควบคุมปริมาณพัสดุอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ (75% ของตลาดพัสดุทั้งหมดมาจากแพลตฟอร์มที่มีการบูรณาการโลจิสติกส์ในแนวดิ่ง ) แพลตฟอร์มสามารถให้ความสำคัญกับบริการของตนเอง ทำให้ผู้ให้บริการอิสระต้องแข่งขันเพื่อส่วนแบ่งตลาดที่ลดลงหรือมีกำไรน้อยลง การแข่งขันที่รุนแรงและความสามารถของแพลตฟอร์มในการกำหนดเงื่อนไข (เช่น การกำหนดราคาสำหรับบริษัทขนส่งภายนอกเมื่อมีการใช้งาน) ทำให้กำไรของผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระลดลงอย่างมาก

ข้อมูลทางการเงินที่แสดงให้เห็นถึงผลกำไรที่เติบโตของบริษัทขนส่งภายใต้แพลตฟอร์ม (LEX, SPX) และการขาดทุนอย่างมหาศาลของผู้ให้บริการอิสระรายใหญ่ (Flash, KEX) บ่งชี้ว่านี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเอง แต่เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแพลตฟอร์มกำลังใช้ประโยชน์จากการครอบงำตลาดกลางของตนเพื่อรวมภาคโลจิสติกส์ภายใต้การควบคุมของตนเอง ซึ่งเป็นการขับไล่หรือทำให้คู่แข่งอ่อนแอลงอย่างรุนแรง แนวโน้มนี้ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างตลาดโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซแบบผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด โดยที่แพลตฟอร์มควบคุมทั้งอุปสงค์ (ผ่านตลาดกลาง) และอุปทาน (ผ่านบริษัทขนส่งของตนเอง) ซึ่งอาจนำไปสู่การลดนวัตกรรม ต้นทุนระยะยาวที่สูงขึ้นสำหรับห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด (เมื่อการแข่งขันถูกกำจัด) และการขาดความยืดหยุ่นในเครือข่ายโลจิสติกส์หากต้องพึ่งพาผู้เล่นที่ครอบงำเพียงไม่กี่รายมากเกินไป

ตารางที่ 1 : การเปรียบเทียบผลประกอบการทางการเงิน: ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายใต้แพลตฟอร์มเทียบกับผู้ให้บริการอิสระ (ปี 2564-2567)

บริษัทรายได้
ปี 2564
(ล้านบาท)
กำไร/ขาดทุน
ปี 2564
(ล้านบาท)
รายได้
ปี 2565
(ล้านบาท)
กำไร/ขาดทุน
ปี 2565
(ล้านบาท)
รายได้
ปี 2566
(ล้านบาท)
กำไร/ขาดทุน
ปี 2566
(ล้านบาท)
รายได้
ปี 2567
(ล้านบาท)
กำไร/ขาดทุน
ปี 2567
(ล้านบาท)
Lazada Express9,638-28616,0602,70016,7382,90914,3291,742
SPX Express15,010-28916,76593216,6073423,498469
KEX Express19,2613117,162-3,08311-49-5
Flash Express17,607514,805-2,18620,093-55924,728940

ผลกระทบต่อผู้บริโภค

แม้ว่าแพลตฟอร์มจะมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการจัดส่ง แต่ผู้บริโภคยังคงเผชิญกับปัญหา เช่น การจัดส่งล่าช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลหรือโปรโมชั่น ข้อร้องเรียนเฉพาะรวมถึงการแจ้งเตือน “จัดส่งภายใน 1 ชั่วโมง” ที่ไม่เป็นจริง ซึ่งนำไปสู่การรอคอยที่ยาวนาน ผู้บริโภคอาจพบความยากลำบากในการติดตามพัสดุหรือแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระบบภายในของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ได้รับมอบหมายไม่โปร่งใสหรือไม่ตอบสนอง

แม้ว่าแพลตฟอร์มจะมุ่งควบคุมห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดเพื่อประสิทธิภาพ แต่ข้อร้องเรียนของผู้บริโภค เกี่ยวกับการจัดส่งล่าช้าและการติดตามที่ไม่ถูกต้อง บ่งชี้ว่าการควบคุมจากส่วนกลางนี้ไม่ได้นำไปสู่บริการที่เหนือกว่าเสมอไป ปัญหาเกิดขึ้นจากปริมาณพัสดุที่สูงในช่วงโปรโมชั่น และอาจเกิดจากการขาดความคล่องตัวหรือการตอบสนองในระดับท้องถิ่นจากการดำเนินงานขนาดใหญ่ที่รวมศูนย์ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้การบูรณาการในแนวดิ่งจะให้ประโยชน์แก่แพลตฟอร์ม แต่ก็อาจไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทางเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากขนาดของการดำเนินงานเกินขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ภายใน หรือหากมุ่งเน้นไปที่การควบคุมต้นทุนเป็นหลักมากกว่าความเป็นเลิศในการบริการ นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงศักยภาพในการขาดตัวเลือกบริการที่หลากหลายสำหรับผู้บริโภค หากผู้เล่นอิสระถูกกีดกันออกจากตลาด

กรอบการกำกับดูแลและช่องทางในการร้องเรียน

บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) ในการแก้ไขปัญหาการครอบงำตลาด

สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค./กขค.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแลหลักที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลการแข่งขันที่เป็นธรรมในประเทศไทย ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการใช้อำนาจเหนือตลาดหรือพฤติกรรมการผูกขาดโดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ สขค. ได้ สขค. มีอำนาจหน้าที่ในการติดตามและบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันเพื่อป้องกันการบิดเบือนตลาด

บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการคุ้มครองผู้บริโภค

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มีหน้าที่รับผิดชอบในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของผู้บริโภค ผู้บริโภคที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซ เช่น ปัญหาการจัดส่งหรือข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ สคบ. ได้

กลไกการร้องเรียนสำหรับผู้ขายและผู้บริโภคโดยหน่วยงานกำกับดูแล

  • สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.): สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ (www.tcct.or.th) หรือโทรศัพท์ (02-199-5444)
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.): สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ (complaint.ocpb.go.th) หรือแอปพลิเคชันมือถือ “OCPB Connect” (Android, iOS)
  • สภาองค์กรของผู้บริโภค: มีช่องทางการร้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ (www.tcc.or.th), Line Official (@tccthailand), อีเมล (complaint@tcc.or.th) หรือโทรศัพท์ (02-239-1839)

การวิเคราะห์ “พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่” และศักยภาพในการแก้ไขปัญหา

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องระบุไว้ตั้งแต่ต้นว่าข้อมูลการวิจัยที่ได้รับมา ไม่มีข้อมูลเฉพาะเจาะจงหรือรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับ “พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่” ดังนั้น การประเมินศักยภาพของกฎหมายดังกล่าวจะต้องอิงตามแนวทางกำกับดูแลเชิงสมมติฐานและหลักการทั่วไปของการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภค รายงานนี้ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีกฎหมายดังกล่าวอยู่จริงหรือไม่ หรือมีบทบัญญัติใดบ้าง

แนวทางกำกับดูแลเชิงสมมติฐานเพื่อส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซ

พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาจนำเสนอบทบัญญัติที่มุ่งเป้าไปที่การใช้อำนาจเหนือตลาดโดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ ซึ่งอาจรวมถึง:

  • การเข้าถึงที่ไม่เลือกปฏิบัติ: กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องให้การเข้าถึงเครือข่ายโลจิสติกส์ของตนอย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติแก่ผู้ให้บริการขนส่งอิสระที่มีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งหมด เพื่อป้องกันการใช้บริการบริษัทลูกของตนเองแต่เพียงผู้เดียวหรือให้สิทธิพิเศษ
  • การห้ามการผูกขาด/การรวมบริการ: ห้ามแพลตฟอร์มจากการผูกบริการตลาดกลางของตนกับการใช้บริการโลจิสติกส์ของตนเองแต่เพียงผู้เดียว
  • ข้อกำหนดด้านความโปร่งใส: กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องมีความโปร่งใสเกี่ยวกับอัลกอริทึมการกำหนดผู้ให้บริการขนส่ง โครงสร้างราคา และตัวชี้วัดประสิทธิภาพสำหรับทั้งบริษัทขนส่งภายใต้แพลตฟอร์มและบุคคลที่สาม

กฎหมายดังกล่าวอาจเสริมสร้างอำนาจของผู้ขายโดย :

  • การกำหนดทางเลือก: กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องเสนอทางเลือกที่แท้จริงให้กับผู้ขายในการเลือกผู้ให้บริการโลจิสติกส์หลายราย รวมถึงผู้ให้บริการอิสระ สำหรับแต่ละคำสั่งซื้อ
  • ระบบการลงโทษที่เป็นธรรม: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการลงโทษสำหรับการจัดส่งล่าช้าถูกนำไปใช้อย่างเป็นธรรมกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ทุกราย โดยไม่ลงโทษผู้ขายที่เลือกใช้บริการขนส่งภายนอกอย่างไม่สมส่วน

นอกจากนี้ กฎหมายอาจเสริมสร้างสิทธิผู้บริโภคโดย :

  • มาตรฐานบริการที่เป็นมาตรฐาน: กำหนดมาตรฐานคุณภาพบริการขั้นต่ำสำหรับโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซทั้งหมด โดยไม่คำนึงว่าเป็นของแพลตฟอร์มหรือผู้ให้บริการอิสระ
  • การปรับปรุงการแก้ไขข้อร้องเรียน: กำหนดกลไกการแก้ไขข้อร้องเรียนสำหรับปัญหาการจัดส่งที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมความรับผิดชอบที่ชัดเจน

เมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่ชัดเจนของการครอบงำตลาด และผลกระทบต่อการแข่งขันต่อโลจิสติกส์อิสระ และผู้ขาย กรอบการกำกับดูแลใหม่ เช่น “พระราชบัญญัติไปรษณีย์” อาจเป็นเครื่องมือในการแก้ไขตลาด บทบัญญัติเชิงสมมติฐาน เช่น การเข้าถึงที่ไม่เลือกปฏิบัติ หรือการกำหนดทางเลือกของผู้ขาย จะแก้ไขปัญหาการแข่งขันที่ถูกจำกัดและอำนาจอิสระที่ถูกจำกัดโดยตรง กฎหมายดังกล่าวจะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงปรัชญาการกำกับดูแล จากแนวทางที่ไม่เข้าแทรกแซงไปสู่การแทรกแซงเชิงรุกเพื่อให้แน่ใจว่ามีการแข่งขันที่เป็นธรรมในเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะยอมรับว่าโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของเศรษฐกิจแพลตฟอร์มต้องการเครื่องมือกำกับดูแลเฉพาะนอกเหนือจากมาตรการต่อต้านการผูกขาดแบบดั้งเดิม

ความท้าทายและข้อพิจารณาสำหรับการบังคับใช้กฎระเบียบอย่างมีประสิทธิภาพ

  • การนิยาม “อำนาจเหนือตลาด”: การนิยามอย่างชัดเจนว่าอะไรคือ “อำนาจเหนือตลาด” ในภาคอีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วนั้นอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย
  • กลไกการบังคับใช้: การบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีกลไกที่แข็งแกร่งสำหรับการติดตามการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การสอบสวนข้อร้องเรียน และการกำหนดบทลงโทษที่มีความหมายสำหรับการละเมิด
  • ความซับซ้อนทางเทคโนโลยี: การกำกับดูแลอัลกอริทึมที่ซับซ้อนที่ใช้สำหรับการกำหนดผู้ให้บริการขนส่งหรือการกำหนดราคา อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายทางเทคนิคสำหรับหน่วยงานกำกับดูแล
  • การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการแข่งขัน: หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องสร้างสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างการส่งเสริมการแข่งขันและการไม่ยับยั้งนวัตกรรมหรือประสิทธิภาพที่แพลตฟอร์มอ้างว่าทำได้ผ่านการบูรณาการในแนวดิ่ง
  • ลักษณะข้ามพรมแดน: เนื่องจากแพลตฟอร์มที่ครอบงำเป็นของต่างชาติ การประสานงานด้านกฎระเบียบข้ามพรมแดนอาจจำเป็นสำหรับการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ

แม้ว่าจะมีหน่วยงานกำกับดูแล เช่น สขค. ปัญหาการครอบงำตลาดที่ยังคงมีอยู่ และความเดือดร้อนทางการเงินของผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระ บ่งชี้ถึง “ความล่าช้าในการกำกับดูแล” ที่กฎหมายที่มีอยู่ไม่อาจแก้ไขความแตกต่างของเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ หรือ “ช่องว่างในการบังคับใช้” ที่กลไกปัจจุบันไม่เพียงพอ ความท้าทายเชิงสมมติฐานที่ระบุไว้ (การนิยามการครอบงำ ความซับซ้อนทางเทคโนโลยี) เน้นย้ำว่าเหตุใดกฎหมายใหม่จึงอาจจำเป็นเพื่อมอบอำนาจและเครื่องมือที่ชัดเจนยิ่งขึ้นแก่หน่วยงานกำกับดูแล แม้จะมีกฎหมายใหม่ แต่ประสิทธิภาพของกฎหมายก็ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถและความเต็มใจของหน่วยงานกำกับดูแลในการปรับตัวให้เข้ากับตลาดดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากไม่มีการบังคับใช้เชิงรุกและซับซ้อน แม้กฎหมายที่มีเจตนาดีก็อาจล้มเหลวในการยับยั้งการปฏิบัติที่ต่อต้านการแข่งขันของแพลตฟอร์มที่ครอบงำตลาด

ข้อเสนอแนะและแนวโน้มในอนาคต

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมตลาดโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซที่มีการแข่งขันและเป็นธรรม

  • ออกกฎระเบียบเฉพาะสำหรับแพลตฟอร์มดิจิทัล: พัฒนาและบังคับใช้กฎหมาย (อาจผ่าน “พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่” หรือกฎหมายแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ) ที่แก้ไขปัญหาอำนาจตลาดและการปฏิบัติที่ต่อต้านการแข่งขันภายในแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยมุ่งเน้นที่โลจิสติกส์
  • กำหนดการทำงานร่วมกันและการเข้าถึงแบบเปิด: กำหนดให้แพลตฟอร์มที่ครอบงำตลาดต้องให้การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลโลจิสติกส์ของตนอย่างเป็นธรรม สมเหตุสมผล และไม่เลือกปฏิบัติแก่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระ
  • เสริมสร้างอำนาจผู้ขายด้วยทางเลือก: บังคับใช้กฎระเบียบที่รับประกันว่าผู้ขายอีคอมเมิร์ซมีความสามารถที่แท้จริงในการเลือกผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่หลากหลาย โดยไม่ต้องเผชิญกับการลงโทษสำหรับการเลือกใช้บริการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้แพลตฟอร์ม
  • เสริมสร้างการกำกับดูแล: เพิ่มขีดความสามารถและทรัพยากรของหน่วยงานกำกับดูแล เช่น สขค. และ สคบ. เพื่อติดตามพฤติกรรมตลาดอย่าง proactive สอบสวนข้อร้องเรียน และบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภคในขอบเขตดิจิทัล
  • ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลในท้องถิ่น: สนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและโซลูชั่นโลจิสติกส์ภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาหน่วยงานต่างชาติและรักษาคุณค่าทางเศรษฐกิจไว้ในประเทศ

ข้อพิจารณาเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ขายอีคอมเมิร์ซและผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระ

  • สำหรับผู้ขายอีคอมเมิร์ซ:
    • กระจายช่องทางการขาย: ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มที่ครอบงำตลาดเพียงรายเดียวมากเกินไป โดยการสำรวจช่องทางการขายทางเลือก รวมถึงเว็บไซต์ขายตรงถึงผู้บริโภค (D2C) หรือตลาดกลางขนาดเล็กในท้องถิ่น
    • ทำความเข้าใจนโยบายแพลตฟอร์ม: ทำความเข้าใจข้อกำหนดและเงื่อนไขอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งและการลงโทษ เพื่อลดความเสี่ยง
    • บันทึกปัญหา: เก็บบันทึกรายละเอียดของปัญหาใดๆ กับบริษัทขนส่งที่แพลตฟอร์มกำหนด หรือการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม เพื่อสนับสนุนการร้องเรียนต่อแพลตฟอร์มหรือหน่วยงานกำกับดูแล
  • สำหรับผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระ:
    • มุ่งเน้นบริการเฉพาะทาง: สร้างความแตกต่างโดยการนำเสนอบริการเฉพาะทาง (เช่น การขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ, สินค้าขนาดใหญ่, การจัดส่งแบบ hyper-local) หรือกำหนดเป้าหมายกลุ่มตลาดเฉพาะที่บริการโลจิสติกส์ของแพลตฟอร์มยังไม่ครอบคลุมอย่างเต็มที่
    • ลงทุนในเทคโนโลยี: เพิ่มประสิทธิภาพการติดตาม การบริการลูกค้า และการดำเนินงานผ่านเทคโนโลยี เพื่อแข่งขันด้านคุณภาพบริการแทนที่จะเป็นเพียงราคา
    • สร้างพันธมิตร: ร่วมมือกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระรายอื่น หรือผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างเครือข่ายทางเลือกที่แข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้มากขึ้น
    • สนับสนุนการแข่งขันที่เป็นธรรม: มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับหน่วยงานกำกับดูแลและสมาคมอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน

แนวโน้มสำหรับภาคโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซของไทย

อนาคตของโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซของไทยขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างการครอบงำแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องและประสิทธิภาพของการแทรกแซงด้านกฎระเบียบ หากไม่มีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนที่แก้ไขปัญหาการกระจุกตัวของตลาดและการปฏิบัติที่ต่อต้านการแข่งขัน แนวโน้มที่บริษัทขนส่งภายใต้แพลตฟอร์มจะได้รับส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นโดยแลกกับผู้เล่นอิสระก็มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป

“พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่” หรือกฎหมายที่คล้ายกันที่ออกแบบมาอย่างดี ควบคู่ไปกับการบังคับใช้ที่แข็งแกร่ง สามารถส่งเสริมระบบนิเวศที่สมดุลมากขึ้น ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม ปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และท้ายที่สุดนำไปสู่ภาคโลจิสติกส์ที่ยืดหยุ่นและมีนวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมทั้งหมด

บทสรุป

การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยได้นำมาซึ่งโอกาสมหาศาล แต่ก็มีความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการครอบงำของแพลตฟอร์มรายใหญ่และการควบคุมช่องทางการจัดส่ง การปฏิบัติที่กำหนดหรือจูงใจอย่างหนักให้ใช้บริการบริษัทขนส่งภายใต้แพลตฟอร์ม เช่น SPX Express และ Lazada Express ได้สร้างตลาดที่ไม่สมดุล ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อผู้ขายอีคอมเมิร์ซผ่านทางเลือกที่จำกัดและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และนำไปสู่ความเดือดร้อนทางการเงินอย่างรุนแรงสำหรับผู้ให้บริการโลจิสติกส์อิสระ แม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลที่มีอยู่ เช่น สขค. และ สคบ. จะเสนอช่องทางในการเยียวยา แต่ลักษณะของปัญหาเชิงระบบบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการแทรกแซงทางกฎหมายที่ครอบคลุมและตรงเป้าหมายมากขึ้น

แม้ว่ารายละเอียดเฉพาะของ พระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับใหม่ จะไม่มีอยู่ในข้อมูลการวิจัยที่ได้รับมา แต่กฎหมายดังกล่าวมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม การรับรองการเข้าถึงเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ไม่เลือกปฏิบัติ และการเสริมสร้างอำนาจผู้ขายด้วยทางเลือกที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของกฎระเบียบใหม่ใดๆ จะขึ้นอยู่กับการกำหนดบทบัญญัติที่ชัดเจน การบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ และความสามารถของหน่วยงานกำกับดูแลในการปรับตัวให้เข้ากับความซับซ้อนของเศรษฐกิจดิจิทัล ในอนาคต ความพยายามร่วมกันจากผู้กำหนดนโยบาย แพลตฟอร์ม ผู้ขาย และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมระบบนิเวศโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซที่มีการแข่งขัน เป็นธรรม และยั่งยืนในประเทศไทย

แก้ไขล่าสุด

·

แชร์เรื่องนี้ไปยัง